วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

(ใหม่)
2. ตัวแปลภาษา

          การพัฒนาซอฟต์แวร์ต้องอาศัยซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการแปลภาษาระดับสูงเพื่อแปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง ภาษาระดับสูงมีหลายภาษาซึ่งสร้างขึ้นให้ผู้เขียนโปรแกรมเขียนชุดคำสั่งได้ง่าย เข้าใจได้เพื่อสามารถปรับปรุงแก้ไขซอฟต์แวร์ในภายหลังได้
          ภาษาระดับสูงที่พัฒนาขึ้นทุกภาษาต้องมีตัวแปลภาษา ซึ่งได้แก่ ภาษา Basic , Pascal , C และภาษาโลโก้  เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีภาษาคอมพิวเตอร์ทึ่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันอีกได้แก่ Fortran Cobolและภาษา อาร์ฟีจี


 2.2 ซอฟต์แวร์ประยุกต์ Application Software
ซอฟต์แวร์ที่ใช้ทำงานร่วมกับคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ทำงานเฉพาะด้าน เช่น การจัดพิมพ์รายงาน การนำเสนอ การจัดทำบัญชี การตกแต่งภาพ หรือการออกแบบเว็บไซต์ เป็นต้น
 ประเภทของซอฟต์แวร์ประยุกต์ แบ่งตามลักษณะการผลิต จำแนกได้เป็น 2 ประเภท
     1. ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นใช้เองโดยเฉพาะ Proprietary  Software
      2.ซอฟต์แวร์ที่หาซื้อได้ทั่วไป Packaged Software มีทั้งโปรแกรมเฉพาะCustomized Package และ โปรแกรมมาตรฐาน Standard  Package
แบ่งตามกลุ่มการใช้งาน จำแนกได้ 3 กลุ่มใหญ่ๆ
    1. กลุ่มการใช้งานทางด้านธุรกิจ Business
    2. กลุ่มการใช้งานทางด้านกราฟิก และ มัลติมีเดีย Graphic and Multimedia
    3 กลุ่มใช้งานบนเว็บ Web and Communications

 1.กลุ่มการใช้งานทางด้านธุรกิจ Business
        ซอฟต์แวร์กลุ่มนี้ถูกนำมาใช้โดยมุ่งหวังในการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การจัดพิมพ์ รายงานเอกสาร นำเสนอผลงานและการบันทึกนัดหมายต่างๆ ตัวอย่างเช่น- โปรแกรมประมวลคำ อาทิ Microsoft Word Sun Star office Writer
- โปรแกรมตารางคำนวณ อาทิ  Microsoft Excel , Sun Star office Cale
 -โปรแกรมนำเสนอผลงาน อาทิ Microsoft Power Point Sun Star office Impress
      2. กลุ่มการใช้งานทางด้านกราฟิก และ มัลติมีเดีย Graphic and Multimedia
  ซอฟต์แวร์กลุ่มนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยจัดการด้านงานกราฟิกและมัลติมีเดียเพื่อให้อ่านง่ายขึ้น เช่น ใช้ตกแต่ง วาดรูป ปรับเสียง ตัดต่อ ภาพเคลื่อนไหวและการสร้างและออกแบบเว็บไซต์ ตัวอย่างเช่น
-โปรแกรมงานออกแบบ อาทิ Microsoft Visio Professional
-โปรแกรมตกแต่งภาพ อาทิ CorelDraw , Adobe Photoshop
-โปรแกรมตัดต่อวิดีโอและเสียง อาทิ Adobe premiere , Pinnacle Studio DV
-โปรแกรมสร้างสื่อมัลติมีเดีย อาทิ Adobe Author ware , Tool book  Instructor , Adobe Director
-โปรแกรมสร้างเว็บ อาทิ Adobe Flash , Adobe Dreamweaver
        3.กลุ่มการใช้งานบนเว็บและการติดต่อสื่อสาร
   เมื่อเกิดการเติบโตของเครือข่ายอินเตอร์เน็ตซอฟต์แวร์กกลุ่มนี้ได้ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อใช้งานเฉพาะเพิ่มมากขึ้น เช่น โปรแกรมการตรวจเช็ดอีเมล์ การท่องเว็บไซค์ การจัดการดูแลเว็บ การจัดการดูแลเว็บ ตัวอย่างโปรแกรมในกลุ่มนี้ได้แก่
   -โปรแกรมจัดการอีเมล์ อาทิ Microsoft outlook , Mozzila Thunderbird
- โปรแกรมท่องเว็บ อาทิ Microsoft Internet Explorer , Mozzila Firefox
-โปรแกรมประชุมทางไกล Video conference อาทิ  Microsoft Net meeting
-โปรแกรมส่งข้อความด่วน Instant Messaging อาทิ MSN Messenger / Window Messenger , ICQ
-โปรแกรมสนทนาบนอินเตอร์เน็ต อาทิ PIRCH , MIRCH
ความจำเป็นของการใช้ซอฟต์แวร์
  การใช้ภาษาคล่องนี้แม้ว่าคอมพิวเตอร์จะเข้าใจได้ทันที แต่มนุษย์ผู้ใช้จะมีข้อยุ่งยากมากเพราะเข้าใจจดจำได้ยาก จึงมีผู้สร้างภาษาคอมพิวเตอร์ในรูปแบบที่เป็นตัวอักษรเป็นประโยคข้อความภาษาในลักษณะดังกล่าวนี้เรียกว่าภาษา คอมพิวเตอร์ระดับสูง ภาษาระดับสูงมีอยูมากมายบางภาษามีความเหมาะสมกับการใช้ส่งงานการคำนวณทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ บางภาษามีความเหมาะสมไว้ใช้สั่งงานทางด้านการจัดการข้อมูล
  ความจำเป็นของการใช้ซอฟต์แวร์
    การใช้ภาษาเครื่องนี้ถึงแม้ว่าคอมพิวเตอร์จะเข้าใจได้ทันที แต่มนุษย์ผู้ใช้จะมีข้อยุ่งยากมากเพราะเข้าใจและจดจำได้ยาก จึงมีผู้สร้างภาษาคอมพิวเตอร์ในรูปแบบที่เป็นตัวอักษร
 ซอฟต์แวร์และภาษาคอมพิวเตอร์
     เมื่อมนุษย์ต้องการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการงาน มนุษย์จะต้องบอกขั้นตอนวิธีการให้คอมพิวเตอร์ทราบที่บอกสิ่ง ที่มนุษย์เข้าใจให้คอมพิวเตอร์รับรู้และทำงานได้อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องมีสื่อกลางสำหรับการติดต่อเพื่อให้คอมพิวเตอร์รับรู้ เรียกว่าภาษาคอมพิวเตอร์
  ภาษาคอมพิวเตอร์ในแต่ละยุคประกอบด้วยภาษาเครื่อง Machine Languages เนื่องจากคอมพิวเตอร์ทำงานด้วยสัญญาณทางไฟฟ้าใช้แมนตัวเลข และ 1 ได้ผู้ออกแบบทางคอมพิวเตอร์ใช้ตัวเลข และ 1 นี้เป็นหัสแทนคำสั่งในการสั่งงานคอมพิวเตอร์ รหัสแทนข้อมูลและคำสั่งในการสั่งงานคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ เราเรียกเลขฐานสองที่ประกอบกันเป็นชุดคำสั่งและใช้ส่งงานคอมพิวเตอร์มากกว่าภาษาเครื่อง
   ภาษาแอสเซมบลี Assembly Languages
        เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ ถัดจากภาษาเครื่องและภาษาแอสเซมบลีช่วยลดความยุ่งยากลงในการเขียนโปรแกรมเพื่อติดต่อกับคอมพิวเตอร์  ภาษาแอสเซมบลีก็ยังคงมีความใกล้เคียงภาษาเครื่องอยู่มากและจำเป็นต้องใช้ตัวแปลภาษา

ภาษาระดับสูง High – Level Languages 
เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ เริ่มมีการใช้ชุดคำสั่งที่เรียกว่า Statement ที่มีลักษณะเป็นประโยคภาษาอังกฤษ ทำให้ผู้เขียนโปรแกรมสามารถเรียนรู้และสามารถเขียนโปรแกรมได้ง่ายขึ้น
ภาษาระดับสูงมีอยู่ ชนิด คือ
 คอมไพเลอร์ Compiler และ อินเทอร์พรีเตอร์ Interpreter
 - คอมไพเลอร์ จะทำการแปลโปรแกรมที่เขียนเป็นภาษาระดับสูงทั้งโปรแกรมให้เป็นภาษาเครื่องก่อนแล้วจึงให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามภาษาเครื่องนั้น
  อินเทอร์พรีเตอร์  จะทำการแปลที่ละคำสั่งแล้วให้คอมพิวเตอร์ทำตามคำสั่งนั้น เมื่อทำเสร็จแล้วจึงมาทำการแปลคำสั่งลำดับต่อไป
*** ข้อแตกต่าง   ระหว่างคอมไพเลอร์กับอินเทอร์พรีเตอร์จึงอยู่แปลโปรแกรมหรือแปลทีละคำสั่ง




โครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
-                   ระบบ Network และ Internet
-                   ระบบสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
องค์ประกอบของเครือข่าย 3 ประเภท
1.ฮาร์ดแวร์ hardware
-คอมพิวเตอร์
-เซอร์เวอร์ Serwer
-ฮับ Hub
-บริดจ์
-เราท์เตอร์
-เกดเวย์
-โมเด็ม
-เน็ตเวอร์กการ์ด
2.ซอฟต์แวร์ Software
-โปรแกรมประยุกต์
-โปรแกรมปฎิบัติการ
3.ตัวนำข้อมูล Media
-สายโคแอกเซียล
-สายคู่บิดเกลียว  หุ้มฉนวน  STP
-สายคู่บิดเกลียว  ไม่หุ้ม UTP
-ใยแก้วนำแสง  Fiber Optic  Cable

การทำงานของระบบ Network และ Internet
โครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
1.เครือข่ายเฉพาะที่ ( Local Area Network : LAN )
  เป็นเครือข่ายที่มักพบเห็นกันในองค์กรส่วนใหญ่ลักษณะของการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เป็นวง LAN  จะอยู่ในพื้นที่ใกล้ๆ กัน เช่น  อยู่ภายในอาคาร  หรือหน่วยงานเดียวกัน
2.เครือข่ายเมือง (Metropolitan Area Network :MAN
  เป็นกลุ่มของเครือข่าย LAN ที่นำมาเชื่อมต่อกันเป็นวงใหญ่ขึ้น  ภายในบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงกัน
3.เครือข่ายบริเวณกว้าง ( Wind Area Network :WAN )
  เป็นเครือข่ายที่ใหญ่ขึ้นไปอีกระดับ  โดยเป็นการรวมเครือข่ายทั้ง LAN และMAN  มาเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายเดียว  ดังนั้นเครือข่ายนี้จึงครอบคลุมไปทั่วประเทศ  หรือทั่วโลก  เช่น อินเตอร์เน็ต  ซึ่งถือเป็นเครือข่ายสาธารณะที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
-                   การทำงานของระบบ Network  และ  Internet
-                   รูปแบบโครงสร้างของเครือข่ย  ( Network Topology)
  การจัดระบบการทำงานของเครือข่าย  มีรูปแบบโครงสร้างของเครือข่าย  อันเป็นการจัดวางคอมพิวเตอร์และการเดินสายสัญญารคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายรวมถึงหลักการไหลเวียนข้อมูลในเครือข่ายด้วย  โดยแบ่งโครงสร้างเครือข่ายหลักได้  4  แบบ  คือ
-เครือข่ายแบบดาว
-เครือข่ายแบบวงแหวน
-เครือข่ายแบบบัส
-เครือข่ายแบบต้นไม้
-แบบดาว    เป็นการต่อสายเชื่อมโยงโดยการนำสถานีต่างๆ มาต่อร่วมกันกับหน่วยสลับสายกลาง  การติดต่อสื่อสารระหว่างสถานีจะกระทำได้ด้วยการติดต่อผ่านทางวงจรของหน่วยสลับสายกลาง  การทำงานของหน่วยสลับสายกลางจึงคล้ายกับศูนย์
  เป็นการเชื่อมโยงการติดต่อสื่อสารที่มีลักษณะคล้ายรูปดาวหลายแฉก  โดยมีสถานีกลาง  หรือฮับ  ป็นจุดผ่านทางการติดต่อกันระหว่างทุกโหนดในเครือข่าย  สถานีกลางจึงมีหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุมเส้นทางการสื่อสารทั้งหมด  นอกจากนี้สถานีกลางยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางคอยจัดส่งข้อมูลให้กับโหนดปลายทางอีกด้วย  การสื่อสารภายในเครือข่ายแบบดาว  จะเป็นแบบ 2 ทิศทางโดยจะอนุญาตให้มีเพียงโหนดเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายได้  จึงไม่มีโอกาสที่หลายๆโหนดจะส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายในเวลาเดียวกัน

-แบบวงแหวน    เป็นแบบที่สถานีของเครือข่ายทุกสถานีจะต้องเชื่อมต่อกับเครื่องขยายสัญญานของทุกสถานีเข้าด้วยกันเป็นวงแหวน  มีหน้าที่ในการรับข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของตัวเองหรือจากเครื่องขายาสัญญานตัวก่อนหน้าและส่งข้อมูลต่อไปยังเครื่องขยายสัญญานตัวถัดไปเรื่อยๆ เป็นวง
-แบบบัส    เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ  ด้วยสายเคเบิ้ลยาว  ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ  โดยจะมีอุปกรณืที่เป็นตัวเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เข้ากับสายเคเบิ้ล  ในการส่งข้อมูล  จะมีคอมพิวเตอรารถส่งข้อมูลได้ในช่วงเวลาหนึ่งๆ  การจัดส่งข้อมูลวิธีนี้จะต้องกำหนดวิธีการ  ที่จะไม่ให้ทุกสถานีส่งข้อมูลพร้อมกัน  เพราะจะทำให้ข้อมูลชนกัน  วิธีการอาจแบ่งเวลาหรือให้แต่ละสถานีใช้ความถี่  สัญญาณที่แตกต่างกัน  ในการติดตั้งเครือข่ายแบบบัสนี้  คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์แต่ละชนิด  ถูกเชื่อมต่อด้วยสายเคเบิ้ล
   อุปกรณ์ทุกชิ้นหรือโหนดทุกโหนด  ในเครือข่ายจะต้องเชื่อมโยงเข้ากับสายสื่อสารหลักที่เรียกว่า  บัส  เมื่อโหนดหนึ่งต้องการจะส่งข้อมูลไปให้ยังอีกโหนดหนึ่งภายในเครือข่าย
-แบบต้นไม้    เป็นเครือข่ายที่มีการผสมผสานโครงสร้างของเครือข่ายแบบต่างๆเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่  การจัดส่งข้อมูลสามารถส่งไปถึงได้ทุกสถานี  การสื่อสารข้อมูลจะผ่านตัวกลางไปยังสถานีอื่นๆ  ได้ทั้งหมด  เพราะทุกสถานีจะอยู่บนทางเชื่อม  รับส่งข้อมูลเดียวกัน


        การประยุกต์ใช้งานของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

-ระบบเครือข่ายทำให้เกิดการสื่อสาร
-รูปแบบการใช้งานของระบบคอมพิวเตอร์
   ระบบเครือข่ายแบ่งตามลักษณะการทำงาน  ได้เป็น  3  ประเภท  คือ
1.ระบบเครือข่ายแบบรวมศูนย์กลาง  (Centrallized  Networks)
2.ระบบเครือข่ายแบบ  Peer-to  Peer
3.ระบบเครือข่ายแบบ  Client/Server
-แบบรวมศูนย์กลาง       เป็นระบบที่มีเครื่องหลักเพียงเครื่องเดียวที่ใช้ในการประมวลผล  ตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางและมีการเชื่อมต่อไปยังเครื่องเทอร์มินอลที่อยู่รอบๆ  ใช้การเดินสายเคเบิ้ลเชื่อมต่อกันโดยตรง  เพื่อให้เครื่องเทอร์มินอลสามารถเข้าใช้งาน  โดยส่งคำสั่งต่างๆ  มาประมวลผล
-แบบ  Peer-to  Peer      แต่ละสถานีงานบนระบบเครือข่าย แบบ  Peer-to  Peer  จะมีความเท่าเทียมกันสามารถที่จะแบ่งปันทรัพยากรให้แก่กันและกันได้  เช่น  การใช้เครื่องพิมพ์หรือแฟ้มข้อมูลร่วมกันในเครือข่าย  เครื่องแต่ละสถานีงานมีขีดความสามรถในการทำงานได้ด้วยตัวเอง  คือจะต้องมีทรัพยากรภายในของตัวเอง  เช่น  ดิสก์สำหรับเก็บข้อมูล  หน่วยความจำที่เพียงพอ  และมีความสามารถในการประมวลผลข้อมูลได้
-แบบ  Client/Server    สามารถสนับสนุนให้มีเครื่องลูกข่ายได้เป้นจำนวนมาก  และสามารถเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้หลายสถานี  ทำงานโดยมีเครื่อง Server  ที่ให้บริการเป็นศูนย์กลางอย่างน้อย 1 เครื่อง  และมีการบริหารจัดการทรัพยากรต่างๆ  จากส่วนกลาง  ซึ่งคล้ายกับระบบเครือข่ายแบบรวมศูนย์กลาง  แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ  เคื่องที่ทำหน้าที่ให้บริการในระบบClient/Server  ราคาไม่แพงมาก  ซึ่งอาจใช้เพียงเครื่องไมโครคอมพิวเตอรืสมรรถนะสูงในการควบคุมการให้บริการทรัพยากรต่างๆ
    นอกจากนี้เครื่องลูกข่ายยังจะต้องมีความสามารถในการประมวลผล  และมีหน้าที่สำหรับจัดเก็บข้อมูลท้องถิ่นเป็นของตนเอง
  ระบบเครือข่ายแบบ Client/Server       เป็นระบบที่มีความยืดหยุ่นสูง  สนับสนุนการทำงานแบบ  Multiproocessor สามารถเพิ่มขยายขนาดของจำนวนผู้ใช้ได้ตามต้องการ  นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มจำนวนผู้ใช้ได้มาก  ข้อเสียคือ  ยุ่งยากในการติดตั้งมากกว่าระบบ  Peer-to  Peer